Course


ติดตามคอร์สสุดพิเศษจากเราได้ที่นี่

ทางเรามีคอร์สพิเศษให้คุณได้ใช้สิทธิมากมาย ติดตามได้เลยข้างล่างนี้

Filler - ฟิลเลอร์

Filler คือสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อช่วยเพิ่มปริมาตรและเติมเต็มบริเวณที่มีร่องลึกหรือขาดความกระชับ โดยฟิลเลอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมักเป็นสาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเติมเต็มให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟิลเลอร์ที่ใช้สารอื่น ๆ ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เช่น Collagen และ Calcium Hydroxylapatite

 

ข้อดีของการทำ Filler

1. แก้ไขริ้วรอยและร่องลึก : Filler สามารถลดเลือนริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม, ใต้ตา หรือหน้าผาก ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น

2. ปรับรูปหน้าให้สมดุล : การฉีด Filler ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมดุลและเข้ารูปมากขึ้น เช่น การเติมแก้ม, คาง, จมูก หรือการปรับโครงหน้าวีเชฟ

3. เห็นผลลัพธ์ทันที : หลังการฉีด Filler จะเห็นผลลัพธ์ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการผ่าตัด

4. ไม่ต้องผ่าตัด : เป็นวิธีที่ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือใช้มีด ทำให้มีความเสี่ยงน้อยและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

5. ผลลัพธ์ชั่วคราวและย่อยสลายได้ : ฟิลเลอร์ที่ใช้สาร HA สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ทำให้หากไม่พอใจกับผลลัพธ์สามารถปรับแก้หรือรอให้สลายตัวได้

 

ขั้นตอนการทำ Filler

1. การปรึกษาแพทย์ : ก่อนการฉีด Filler คุณจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและโครงหน้าของคุณ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับบริเวณที่ควรฉีด ปริมาณที่เหมาะสม และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้

2. การเตรียมผิวและฉีดยาชา : ในขั้นตอนการทำ แพทย์จะทำความสะอาดผิวและฉีดยาชาเฉพาะที่เพื่อป้องกันความเจ็บปวดในระหว่างการฉีด

3. การฉีด Filler : แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กเพื่อฉีด Filler เข้าไปยังบริเวณที่ต้องการปรับรูปหน้า โดยจะค่อย ๆ ฉีดและปั้นรูปหน้าให้สมดุลตามต้องการ กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ 15-30 นาทีเท่านั้น

4. การดูแลหลังฉีด : หลังการฉีดคุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที แต่ควรหลีกเลี่ยงการกดทับหรือถูใบหน้าในบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1-2 วัน นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการสัมผัสแสงแดดโดยตรงในช่วงแรกหลังการฉีด

 

ข้อควรรู้ก่อนทำ Filler

1. เลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ : การทำ Filler ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และผ่านการรับรอง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

2. ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ : ควรใช้ Filler ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น องค์การอาหารและยา (FDA) เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

3. อายุของ Filler : ผลลัพธ์ของ Filler มักจะคงอยู่ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่ใช้และการดูแลผิวหลังการฉีด

ตั้งแต่ 16 ต.ค. 67 ถึง 31 ธ.ค. 68

Botox-โบท็อก

โบท็อก (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของ Botulinum Toxin ซึ่งเป็นสารที่ผลิตจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum โดยสารนี้ทำหน้าที่ในการหยุดการส่งสัญญาณจากเส้นประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว การฉีดโบท็อกช่วยลดการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่มักเกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ เช่น หน้าผาก, หางตา, หรือรอยย่นระหว่างคิ้ว

 

ข้อดีของการทำโบท็อก

1. ลดเลือนริ้วรอยและเส้นลึก: โบท็อกช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์

2. ปรับรูปหน้า: โบท็อกสามารถใช้ในการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น เช่น การฉีดที่กล้ามเนื้อกราม (Masseter) เพื่อให้ใบหน้าดูเล็กลง

3. ผลลัพธ์รวดเร็ว: หลังการฉีดโบท็อก คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-7 วัน โดยไม่ต้องพักฟื้น

4. ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด: เป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้มีดหรือทำการผ่าตัด ทำให้ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการศัลยกรรม

5. ฟื้นตัวได้เร็ว: หลังจากการฉีดโบท็อก คุณสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน

 

ขั้นตอนการทำโบท็อก

1. ปรึกษาแพทย์: ก่อนการฉีดโบท็อก แพทย์จะประเมินโครงหน้าและริ้วรอยของคุณ พร้อมกับให้คำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณและตำแหน่งที่จะฉีด รวมถึงตอบคำถามที่คุณอาจมีเกี่ยวกับผลลัพธ์และข้อควรระวัง

2. การเตรียมผิว: แพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่จะฉีด และอาจใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อให้คุณรู้สึกสบายขึ้นระหว่างการฉีด

3. การฉีดโบท็อก: แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กในการฉีดโบท็อกไปยังกล้ามเนื้อบริเวณที่ต้องการ การฉีดมักใช้เวลาสั้น ๆ ประมาณ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนบริเวณที่ต้องการปรับแต่ง

4. การตรวจสอบผลลัพธ์: หลังการฉีด แพทย์จะตรวจสอบผลลัพธ์เบื้องต้นและให้คำแนะนำการดูแลตัวเองหลังการทำเสร็จ

 

ข้อปฏิบัติตัวหลังทำโบท็อก

1. หลีกเลี่ยงการนอนราบทันทีหลังฉีด: ควรหลีกเลี่ยงการนอนราบอย่างน้อย 4 ชั่วโมงหลังการฉีดโบท็อก เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของสารไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ

2. งดการนวดหรือกดทับบริเวณที่ฉีด: หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดทับบริเวณที่ฉีดโบท็อกเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกระจายของสารไปยังกล้ามเนื้อใกล้เคียง

3. งดการออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 24 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อให้โบท็อกทำงานได้เต็มที่

4. งดดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการฟกช้ำหรือบวม

5. การดูแลทั่วไป: ควรทาครีมกันแดดและดูแลผิวหน้าเป็นประจำ หลังการฉีดโบท็อก ผิวอาจไวต่อแสงแดดมากขึ้น การดูแลผิวให้แข็งแรงจะช่วยยืดอายุของผลลัพธ์ได้นานขึ้น

ตั้งแต่ 15 ต.ค. 67 ถึง 31 ธ.ค. 68

Origin Glass Glow Skin

Origin Glass Glow Skin คือทรีตเมนต์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้กลับมามีความกระจ่างใส ฉ่ำวาว และเนียนเรียบ โดยกระบวนการนี้เน้นการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก โดยใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดเลือนริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวดูเงางามเหมือนกระจก

ทรีตเมนต์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวแห้ง หรือขาดความชุ่มชื้น รวมถึงผู้ที่ต้องการผิวหน้าที่เรียบเนียน กระจ่างใส และดูมีสุขภาพดี

 

ข้อดีของการทำ Origin Glass Glow Skin

1. ผิวกระจ่างใสฉ่ำวาว: ช่วยให้ผิวหน้าดูเงางามและมีความเปล่งประกายจากภายใน ทำให้ผิวหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์

2. เติมเต็มความชุ่มชื้นล้ำลึก: การทำ Origin Glass Glow Skin ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างล้ำลึก ทำให้ผิวไม่แห้งตึงและมีความยืดหยุ่น

3. ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ: ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดเลือนจุดด่างดำ และปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น

4. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: การทำทรีตเมนต์นี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวแน่นกระชับและลดเลือนริ้วรอย

5. ฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด: Origin Glass Glow Skin เป็นวิธีที่ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด หรือใช้เข็ม ทำให้ไม่มีแผลหรืออาการบวมแดงหลังการทำ และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

 

ขั้นตอนการทำ Origin Glass Glow Skin

1. การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: ก่อนการทำ Origin Glass Glow Skin คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว และรับคำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์และวิธีการทำที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ

2. การทำความสะอาดผิวหน้า: แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและเปิดรูขุมขนให้พร้อมรับการบำรุง

3. การบำรุงผิวด้วยเซรั่ม: แพทย์จะใช้เซรั่มหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารบำรุงที่เข้มข้น เช่น Hyaluronic Acid, วิตามินซี หรือสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและปรับสีผิวให้กระจ่างใส

4. การทำทรีตเมนต์พิเศษ: ในขั้นตอนนี้อาจใช้เทคโนโลยีในการผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิว เช่น การใช้เลเซอร์เย็น หรือเครื่องมือที่ใช้คลื่นความถี่ในการส่งสารบำรุงให้ซึมลึกลงสู่ชั้นผิว

5. การมาส์กบำรุง: หลังจากการทำทรีตเมนต์ แพทย์จะใช้มาส์กเพื่อช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก มาส์กนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและล็อกสารบำรุงให้อยู่ในผิวได้ยาวนาน

6. การปิดท้ายด้วยครีมกันแดด: ขั้นตอนสุดท้าย แพทย์จะทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสียูวีและแสงแดดที่อาจทำลายผิวหลังการทำทรีตเมนต์

 

ข้อปฏิบัติตัวหลังการทำ Origin Glass Glow Skin

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: หลังการทำทรีตเมนต์ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขัดถูใบหน้าแรง ๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง

2. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกวัน เพื่อป้องกันการทำร้ายผิวจากแสงแดดและรังสียูวี

3. ดื่มน้ำมาก ๆ: การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น และช่วยให้ผลลัพธ์ของทรีตเมนต์อยู่ได้นานยิ่งขึ้น

4. งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง เช่น กรด AHA หรือ BHA ในช่วงแรกหลังการทำทรีตเมนต์ เพื่อป้องกันการระคายเคือง

ตั้งแต่ 16 ต.ค. 67 ถึง 31 ธ.ค. 68

Ultherapy-อัลเทอร่า

Ultherapy เป็นนวัตกรรมการยกกระชับผิวหน้าด้วยเทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูงที่มีความแม่นยำสูง (High-Intensity Focused Ultrasound: HIFU) คลื่นเสียงนี้จะลงไปถึงชั้นผิวที่ลึกสุดของผิวหนังที่เรียกว่า SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า Ultherapy ทำงานโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ทำให้ผิวหนังเกิดการยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยลดเลือนริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด

 

ข้อดีของการทำ Ultherapy

1. ยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด: Ultherapy ช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อย โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอหรือการผ่าตัด ทำให้ไม่มีแผล ไม่มีความเสี่ยงจากการดมยาสลบ และไม่มีระยะเวลาพักฟื้น

2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ: การทำ Ultherapy จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์

3. ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ: ผลลัพธ์จากการทำ Ultherapy จะค่อย ๆ ปรากฏและดูเป็นธรรมชาติ ผิวจะค่อย ๆ กระชับขึ้นในช่วง 2-3 เดือนหลังการทำ

4. ไม่ต้องพักฟื้น: หลังการทำ Ultherapy คุณสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้นหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่าง ๆ

5. เทคโนโลยีที่ปลอดภัยและได้รับการรับรอง: Ultherapy ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิว

 

ขั้นตอนการทำ Ultherapy

1. การประเมินสภาพผิว: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินสภาพผิวและโครงสร้างของใบหน้าของคุณเพื่อวางแผนการรักษา โดยจะกำหนดบริเวณที่จะทำการรักษาและจำนวนพลังงานคลื่นเสียงที่จะใช้

2. การทำความสะอาดผิวหน้า: แพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำ Ultherapy เพื่อให้ปราศจากสิ่งสกปรกหรือเมคอัพที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของคลื่นเสียง

3. การทาเจลเพื่อช่วยให้คลื่นเสียงเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น: หลังจากทำความสะอาดผิว แพทย์จะทาเจลที่ช่วยให้คลื่นเสียงสามารถส่งผ่านลงสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การยิงคลื่นเสียง Ultherapy: แพทย์จะใช้เครื่องมือ Ultherapy ในการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปยังชั้นผิวใต้ผิวหนัง โดยในระหว่างการทำ คุณอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือรู้สึกตึงเล็กน้อยใต้ผิว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าเครื่องมือกำลังทำงานในชั้นผิวที่ถูกต้อง

5. ตรวจสอบผลลัพธ์และคำแนะนำหลังทำ: เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ แพทย์จะตรวจสอบผลลัพธ์เบื้องต้นและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังการทำ Ultherapy

 

ข้อปฏิบัติตัวหลังทำ Ultherapy

1. เลี่ยงการใช้ความร้อนกับผิว: หลังทำ Ultherapy ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับผิวหน้า เช่น การอาบน้ำอุ่นหรือการใช้สตรีมร้อนบนใบหน้า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง

2. ทาครีมบำรุงและครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ: หลังการทำ Ultherapy ควรทาครีมบำรุงที่มีสารให้ความชุ่มชื้นและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV

3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง: หลังทำ Ultherapy ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีแรง เช่น กรดผลไม้หรือสารลอกผิว เพื่อป้องกันการระคายเคือง

4. งดการนวดหน้าหรือกดบริเวณที่ทำการรักษา: ควรงดการนวดหรือกดบริเวณที่ทำ Ultherapy เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกดทับที่อาจทำให้ผลลัพธ์ลดลง

5. ดื่มน้ำมาก ๆ: การดื่มน้ำมาก ๆ หลังการทำ Ultherapy จะช่วยให้ผิวฟื้นฟูและรักษาความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น

ตั้งแต่ 13 ต.ค. 67 ถึง 31 ธ.ค. 68